วันอังคารที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2554

pooh2s:story deedee: น้ำใจเล็ก ๆ ที่ยิ่งใหญ่ของป้าหาบ...แม่ค้า 5 บาท

pooh2s:story deedee: น้ำใจเล็ก ๆ ที่ยิ่งใหญ่ของป้าหาบ...แม่ค้า 5 บาท: "เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม ขอขอบคุณภาพประกอบจาก นิตยสาร ค ฅน ยุคสมัยนี้ เดินไปทางไหน หันไปร้านใด ก็มักจะเจอป้ายขอปร..."

น้ำใจเล็ก ๆ ที่ยิ่งใหญ่ของป้าหาบ...แม่ค้า 5 บาท






เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

ขอขอบคุณภาพประกอบจาก นิตยสาร ค ฅน 

          ยุคสมัยนี้ เดินไปทางไหน หันไปร้านใด ก็มักจะเจอป้ายขอปรับขึ้นราคาสินค้า และอาหารอยู่จนชินตา โดยเจ้าของร้านมักจะอ้างว่า เพราะของมันแพงขึ้น ต้นทุนสูงขึ้น จึงจำเป็นต้องขึ้นราคาสินค้า เพื่อให้สามารถประคับประคองร้านให้อยู่ต่อไปได้

          แต่ทว่า ในอีกมุมหนึ่งของสังคม ยังมีแม่ค้าวัยย่างหกสิบปีคนหนึ่ง ประกอบอาชีพหาบเร่ค้าขายกับข้าวมานานกว่า 30 ปีแล้ว ตั้งแต่สมัยที่ไข่ไก่ยังราคาเพียงฟองละห้าสิบสตางค์ และแม้วันนี้ราคาไข่ไก่จะพุ่งเกือบฟองละ 5 บาท แต่แกก็ยังคงยืดหยัดขายกับข้าวทุกอย่างในราคา 5 บาทเหมือนเมื่อสามสิบปีที่แล้วไม่มีผิดเพี้ยน 

          ในเวลาใกล้บ่ายสองของทุกวัน สายตาหลายคู่ในซอยจรัญสนิทวงศ์ 33 แยก 3 จะเฝ้ามองหาป้าแดง บุญยัง พิมพ์รัตน์ หรือที่ทุกคนเรียกแกว่า "ป้าหาบ" เพื่ออุดหนุนกับข้าวอร่อย ๆ ของแก ที่ทุกวันหาบหน้าของแกจะเต็มไปด้วยมะละกอ ข้าวเหนียว และครก ขณะที่หาบหลังเต็มไปด้วยกับข้าวและขนมหวานใส่ถุงพลาสติกกองสูงเป็นภูเขา

          "ของทุกอย่างป้าแกขาย 5 บาท ที่ขายสิบบาทก็มีอย่างเดียว คือปลาหมึกเท่านั้น แกขายของแกอย่างนี้มาแต่ไหนแต่ไร ไม่เคยขึ้นราคาสักที" ลูกชายเจ้าของบ้านที่ป้าหาบใช้เป็นพื้นที่ขายของพูดถึงป้า

           จุดเริ่มต้นของแม่ค้า 5 บาท ต้องย้อนไปตั้งแต่สมัยปี พ.ศ.2520 ที่ป้าหาบเดินทางจากจังหวัดร้อยเอ็ดเข้ามาอยู่กรุงเทพมหานคร และตัดสินใจจะขายส้มตำครกละ 5 บาท ให้คนงานในซอยซึ่งมีรายได้น้อยได้ทานกันอย่างอิ่มท้อง จนหลายสิบปีผ่านไป แกก็มีเงินเก็บไปปลูกบ้านที่ร้อยเอ็ดได้หนึ่งหลัง ทั้ง ๆ ที่ขายส้มตำในราคาเพียงครกละ 5 บาท และไม่เคยขยับราคาเลยสักครั้ง แม้ข้าวของจะแพงขึ้น แพงขึ้น เกือบเท่าตัว

           "ขายราคานี้เพราะมันขายง่าย คนซื้อก็จ่ายง่าย ทุนฉันแต่ละวันก็พันกว่าบาท ก็พอมีกำไรนิด ๆ หน่อย ๆ ไอ้เรามันไม่มีหนี้สิน ก็อยู่ได้ ไม่ต้องไปโขกเอากำไรกับเขามากเกินไป" ป้าหาบ บอกถึงเหตุผลที่ขายกับข้าวเพียง 5 บาท




            ป้าหาบ หรือ ป้าแดง ยังบอกอีกด้วยว่า ตลอด 30 ปีที่ผ่านมา ลูกค้าหาบของแกมีมากหน้าหลายตา ทั้งขาประจำ  ขาจร โดยเฉพาะช่วงวิกฤตต้มยำกุ้ง ปี พ.ศ.2540 หาบของแกยิ่งขายดิบขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ซึ่งถ้าตอนนั้นแกปรับขึ้นราคาก็คงมีกำไรอู่ฟู่ไปแล้ว แต่แกไม่เคยคิดจะขึ้นราคาเลยสักที

            "เคยยุให้แกขึ้นราคา แกก็งอนนะ บอกว่าขึ้นแล้วสงสารพวกโรงงาน ป้าแกมองถึงคนล่าง ๆ ที่ซื้อของแกกิน" ลูกค้าประจำ ซึ่งเป็นคุณครูโรงเรียนวัดสุวรรณาราม แอบกระซิบเรื่องของป้าอย่างชื่นชม

            หลายคนสงสัยว่า แกขายกับข้าวในราคาเพียง 5 บาทมาได้อย่างไรตั้งนานกว่า 3 ทศวรรษ แล้วจะมีกำไรหรือ ป้าหาบยิ้มแล้วบอกว่า ตัวแกเองก็จำไม่ได้หรอกว่า ได้กำไรหรือขาดทุนอย่างไร เพราะแกคิดเพียงว่า แม้แกจะขายข้าวในราคา 5 บาท แต่ตัวแกเองไม่ได้เดือดร้อนอะไร อยากทานอะไรก็ได้ทาน ไม่เคยลำบาก และไม่ทำให้เป็นหนี้ใคร เพราะฉะนั้นก็ยังขาย 5 บาทได้อยู่

            นอกจากป้าหาบจะใจดีขายกับข้าวทุกอย่างในราคาถุงละ 5 บาทแล้ว บ่อยครั้งที่จะเห็นแม่ค้าวัยชราคนนี้ หยิบยื่นกับข้าวให้ลูกค้าที่ไม่ค่อยมีเงินได้ทานกันฟรี ๆ แถมยังให้เสียเยอะจนผู้รับเองยังตกใจ

            "นึกถึงตัวเองเวลาไม่มี ท้องหิวมันทรมานมากนะ คนเงินเดือนน้อย ๆ ก็อยากให้เขากินอิ่ม บางคนมีเงินมา 10 บาท มาซื้อกับป้า ป้าก็ให้เขาเยอะ ๆ เป็นข้าวเหนียวเป็นอะไรอย่างนี้ บางคนมาไกล ๆ ไม่มีเงินมา ป้าก็ให้ไปบ้าง หรือไม่ก็คิดเขาแค่ครึ่งเดียว 20 บาท เอา 10 บาทพอ" ป้าหาบ บอก



           
              ความใจดีของป้าหาบ อาจจะเป็นเพราะในสมัยสาว ๆ แกเคยลำบากมาก่อน ทำมาหมดแล้วทุกอย่าง ไม่ว่าจะทำนา ทำไร่ เป็นแม่บ้าน สุดท้ายมาจบที่แม่ค้าขายส้มตำ และเก็บหอมรอมริบเรื่อยมาจนพอมีเงินเก็บ แต่แกก็ยังเข้าใจหัวอกของคนยากไร้เป็นอย่างดี

             "ของอย่างนี้นะหนู คนไม่เคยลำบากมาก่อนไม่มีทางเข้าใจหรอก บางทีแค่ยี่สิบบาท เราเห็นว่าน้อยนิด เขาก็หาไม่ได้นะ หรือบางคนย้ายไปอยู่ที่ไกล ๆ มาซื้อของป้า ป้าก็ยิ่งไม่เอาเงินเขาเลย กลัวเขาจะไม่มีค่ารถกลับบ้าน" ป้าหาบ เล่าด้วยความเข้าใจคนหัวอกเดียวกัน

             เคล็ดลับที่ทำให้ป้าหาบสามารถคงราคา 5 บาทมาได้กว่า 30 ปี ก็ไม่ยากอะไร เพราะป้าหาบแกจะพยายามทำให้ต้นทุนต่ำที่สุด และซื้อวัตถุดิบจากเจ้าประจำทำให้ได้มาในราคาไม่แพงมาก ซึ่งแกก็จะตื่นแต่เช้ามืดมาทำกับข้าวเป็นหม้อ ๆ แล้วหาบของหนัก ๆ ออกมาขายช่วงบ่าย ๆ เป็นประจำเกือบทุกวันอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย ป้าหาบยังบอกอีกด้วยว่า แกสนุกกับสิ่งที่แกทำ เพราะได้คุยกับคนมากหน้าหลายตา และหากแกหยุดขายไปหนึ่งวันหรือสองวัน วันรุ่งขึ้นจะมีลูกค้ามาตัดพ้อเลยทีเดียว



           
             "ถ้าเขาไม่มี เราก็ให้เขากินได้ เวลาเราไม่มี ก็คงจะมีคนยื่นมาให้เรากินบ้าง เหมือนว่าเราทำบุญ ยิ่งกว่าใส่บาตรอีกนะ การให้คนเขาได้กิน ใส่บาตรบางทีพระมีของกินเยอะ ๆ พระท่านก็ไม่ฉันอันนั้นอันนี้ แต่คนที่ไม่มีจะกิน ให้เขาไปเขาก็กินหมด และอิ่มด้วย ยิ่งบางคนให้ไป เขาไม่ลืมเลย ไปเจอกันอยู่กลางทาง เขาเห็นป้าแล้วบอกดีใจจังเลย นึกถึงที่ป้าให้ของกิน เขาบอกว่าไม่เคยลืมเรา ขนาด 9 ปี 10 ปี มาเจอกันวันนี้ ยังมีคนมาทักป้าเลย" ป้าหาบ เล่าด้วยความรู้สึกอิ่มเอมใจเป็นอย่างยิ่ง

              ป้าหาบยังบอกด้วยว่า ชีวิตของแกพอมีพอกิน เงินเก็บก็พอมี หนี้สินไม่มี ลูกเต้าก็โตได้งานทำกันหมดแล้ว เพราะฉะนั้น ชีวิตของแกก็ไม่ได้ลำบากอะไร เช่นนั้นแล้ว เมื่อแกพร้อม ก็สามารถทำอะไรอย่างที่แกอยากจะทำได้ด้วยความสบายใจซึ่งสิ่งนั้นก็คือ "การให้" นั่นเอง

              เห็นไหมว่า เพียงแค่ความคิดเล็ก ๆ ของป้าหาบที่เจือจานน้ำใจอันยิ่งใหญ่สู่เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน กลับทำให้มุมหนึ่งของสังคมไทยในยุคข้าวยากหมากแพงดูแล้วมีความสุขขึ้นมาถนัดตา


ขอขอบคุณข้อมูลจาก

นิตยสาร ค ฅน เดือนกรกฎาคม 

วันจันทร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2554

สรุปสถานการณ์การระบาดของเชื้อ E.Coli ในประเทศเยอรมัน






จากข่าวการระบาดของเชื้อ Enterohaemorrhagic หรือ E.Coli ในประเทศเยอรมัน
พบมีผู้ติดเชื้อกว่า 1500 รายและเสียชีวิตไปแล้ว 17 ราย โดย 1 เสียชีวิตในประเทศสวีเดน
เชื้อ E.Coli ที่เกิดการระบาดในครังนี้เป็นสายพันธุ์ O104 ซึ่งเป็นสายพันธุ์รุนแรงที่ก่อให้เกิด
อาการ haemolytic-uraemic syndrome (HUS) คือ มีอาการ ท้องเสียอย่างรุนแรง ถ่ายเป็นเลือด
และการทำงานของไตล้มเหลว และเป็นสายพันธุ์ที่มีความทนทานต่อสิ่งแวดล้อมกว่าสายพันธ์อื่นๆ
สามารถพบได้ในดินหรือปุ๋ยที่ปลูกพืชผัก 

โดยปกติ E.Coli เป็นแบคทีเรียที่พบได้ทั่วไปในลำไส้ของมนุษย์และไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายมนุษย์ 
แต่ก็สามารถสร้างพิษทำให้เกิดอาหารท้องเสียได้ ส่วนสาเหตุการระบาดในครั้งนี้สันนิษฐานว่าเกิดจากการ
ปนเปื้อนของ E.Coli ในผักสด และแตงกวาที่นำเข้าจากประเทศสเปน โดยปกติการปนเปื้อน E.Coli 
นั้นพบได้ในอาหารที่ปรุงไม่สุก จำพวกเนื้อสัตว์ ไข่ไก่ และผัก,ผลไม้สด ในระหว่างที่มีการระบาดเกิดขึ้น
ในเยอรมัน นั้นได้ออกประกาศเตือนให้ประชาชนระมัดระวังในการบริโภคผักสด จำพวกแตงกวา 
กระหล่ำ มะเขือเทศ และผักสลัดต่างๆ โดยเฉพาะผักผลไม้ที่มาจากตอนเหนือของประเทศ และหาก
จะบริโภคผักสด ควรปอกเปลือก และล้างให้สะอาดก่อนบริโภคทุกครั้ง 


สาเหตุการระบาดของ E.Coli ที่ผ่านๆมานั้นเกิดจาก 
1) เนื้อที่ผ่านกระบวนการจำพวก เคบับ, ซาลามี่ และ แฮมเบอร์เกอร์
2) ผลิตภัณฑ์จากนม เช่น นม เนย ชีส โยเกิร์ต และไอศครีม
3) ผักสลัด โควสลอร์ กะหล่ำ ผักโขม หัวไชเท้า
4) ผลไม้ จำพวก แตงโม องุ่น และน้ำแอปเปิ้ล
5) การระบาดทางน้ำ เช่น น้ำในทะเลสาป, สระว่ายน้ำ

กลุ่มเสี่ยงต่อการรับเชื้อ E.Coli คือผู้สูงอายุและเด็ก หรือผู้ที่มีภูมิคุ้มกันไม่แข็งแรง แต่จากสถานการณ์
การระบาดในประเทศเยอรมัน พบผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง อาจเนื่องจากพฤติกรรมการบริโภคผักและผลไม้สด
สำหรับการระบาดในครั้งนี้พบผู้ติดเชื้อ 87% อยู่ในวัยผู้ใหญ่ และ 68% เป็นผู้หญิง 

เคล็ดลับในการป้องกันการติดเชื้อ E.coli
1) ล้างมือทุกครั้งก่อน,ระหว่างและหลัง ปรุงอาหาร และทำความสะอาดอุปกรณ์ในครัว ภาชนะจาน ชาน มีด เขียง และพื้นผิวครัวด้วยน้ำร้อนหรือสบู่ ทุกครั้งหลังการเตรียมเนื้อสัตว์ดิบ หรือใช้กระดาษเช็ดทำความสะอาดและทิ้งทันที 
2) ควรแยกภาชนะ และเขียงที่ใช้สำหรับเนื้อดิบและเนื้อสัตว์ที่ปรุงสุก อย่าใช้ภาชนะเดียวกัน หากจำเป็นควรล้างทำความสะอาดก่อนทุกครั้ง 
3)ใช้เขียงที่แตกต่างกันสำหรับการเตรียมเนื้อสด ผักและผลไม้ เนื่องจากแบคทีเรียสามารถซึมเข้าไปในรอยแตกก็ผิวไม้
4) แยกเนื้อดิบ, สัตว์ปีก, และอาหารทะเลจากอาหารอื่น ๆ ในตู้เย็นของคุณ.
5) ปรุงอาหารให้สุกทุกครั้ง, ไข่, เนื้อสัตว์, สัตว์ปีก, เนื้อหมูและเนื้อ
6) ล้างผัก ผลไม้ ให้สะอาดทุกครั้งก่อนจะนำไปบริโภค 

แหล่งข้อมูล: การตลาดเพื่อสังคมสุขภาวะ Health Social Marketing 
http://www.facebook.com/notes/การตลาดเพื่อสังคมสุขภาวะ-health-social-marketing/สรุปสถานการณ์การระบาดของเชื้อ-ecoli-ในประเทศเยอรมัน/215118251853276

ทักทาย แนะนำ ติชม แสดงความคิดเห็น